ข้ามภพบรรจบรัก : chapter 2.....by Isaru
" ไอยคุปต์หรืออียิปต์ เป็นดินแดนที่มีอารยธรรม
เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก " ไกด์สาวของงานคน
หนึ่งเอ่ยขึ้นเป็นการอารัมบทก่อนที่จะนำผู้เข้าชม
นิทรรศการไปยัง ห้องต่างๆของงานในวันนั้น
" อียิปต์ยังคงมีมนตราชวนให้สนใจมาถึงทุกวันนี้
เพราะยังมีคำถามมากมายนับไม่ ถ้วนที่นักโบราณคดียังหา
คำตอบมิได้ ไม่ว่าจะเป็นที่มาของปิรามิด สิ่งก่อสร้าง
มหัศจรรย์แห่งโลก หรือการทำมัมมี่ ... วิทยาการทั้งหลาย
เหล่านั้น คนในยุคนั้นคิดค้นขึ้นมาได้อย่างไร ? "
ไกด์คนเดิมกล่าวพลางชี้ไปที่บอร์ดแรกสุดภายในงานซึ่ง
แสดงแผนที่ของดินแดนอียิปต์
" อียิปต์เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ริมฝั่งของแม่น้ำไนล์ ซึ่งแม่น้ำสายนี้มีต้นกำเนิดที่แม่น้ำKagera ในบูรุนดี แล้วไหลไปที่ทะเลสาปวิกตอเรีย เริ่มต้นเป็นแม่น้ำไนล์ที่เมืองจินจา ในอูกันดา ทอดตัวยาวผ่านตอนกลางของทวีปอาฟริกา จนกระทั่งไหลลงสู่ทะเลเมอร์ดิเตอเรเนียน แม่น้ำไนล์จึงเปรียบเสมือนแม่น้ำแห่งชีวิตของชาวอียิปต์ สองฟากฝั่งที่แม่น้ำนี้ไหลผ่านกลายเป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ มีเมืองสำคัญๆหลายเมืองตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนี้ อันได้แก่ เมมฟิส ซักการา และ เธเบส เป็นต้น ชีวิตของชาวอียิปต์จะมีความผูกพันต่อธรรมชาติรอบๆตัว ก่อเกิดเป็นความเชื่อ และตำนานเกี่ยวกับเทพเจ้าต่างๆ รา หรือ อาเมน-รา คือเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ถือเป็นเทพเจ้าองค์แรกและองค์ที่สำคัญที่สุดในหมู่ทวยเทพ แต่อย่างไรก็ตามชาวอียิปต์กลับถือว่าเทพโอซิริส (Osiris ) ผู้ปกครองโลกแห่งความตาย ซึ่งเป็นทั้งพระเชษฐาและพระสวามีของเทวีไอซีส ( Isis ) คือเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด เนื่องจากมีความเชื่อว่า.. คนตายทุกคนจะกลับมาโลกเมื่อองค์โฮซิรีส ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นฟาโรห์ในขณะที่ทรงเป็นมนุษย์เสด็จคืนพระชนม์ชีพ กลับคืนมาอีกครั้งเพื่อเป็นฟาโรห์ไปชั่วนิรันดร์ ดังนั้นชาวอียิปต์จะรักษาศพไว้อย่างดีในสภาพของมัมมี่ และนำศพไปเก็บไว้ใน สถานที่ปลอดภัย จนกว่า..วันที่เทพโอซิรีสจะเสด็จกลับมายังโลก พร้อมทั้งนำวิญญาณของผู้ตายกลับมาสู่ร่างเดิม เพื่อจะมีชีวิตอันนิรันดร์บนโลกแห่งนี้ เอาล่ะ..ประเดี๋ยวเราจะไปดูมัมมี่กันนะคะ......"
ภายในห้องโถงสี่เหลี่ยมใหญ่และกว้างจัดตบแต่งจำลองแบบวิหารฝังศพภายใน ปิรามิดมาไว้แทบทุกประการ คบเพลิงที่ติดประดับอยู่บนฝาผนังเป็นช่วงๆเปล่งแสงสว่างสลัว แอร์ที่เย็นเฉียบ บวกกับกลิ่นกำยานหอมอบอวล ถึงกับสานเป็นบรรยากาศอันเย็นยะเยือกราวอยู่ในดินแดน แห่งความตายก็ไม่ปาน ผู้เข้าชมนิทรรศการทั้งยี่สิบกว่าคนเกาะตัวรวมกันเป็นกลุ่มอยู่ใกล้ๆกับไกด์สาว ไม่ยอมห่าง โดยเฉพาะอาริยาถึงกับกุมแขนอิงอินทร์แน่นไม่ยอมปล่อย ส่วนประวิตรหลบ อยู่หลังธัชชัยซึ่งถูกฉุดให้มาจนต้องมาอย่างเสียมิได้เกือบตลอด คงมีแต่เด็กใหม่คนนั้นกระมัง ซึ่งดูเหมือนเป็นคนเดียวที่ไม่มีอาการสะทกสะท้านใดใดให้เห็นแม้แต่น้อย
" เก่งจัง .. ไม่กลัวเลยเหรอ ? " อิงอินทร์อดหันมาถามเสียงสั่นๆไม่ได้ คนถูกถามยิ้มแล้วส่ายหน้า ผิวเนียนเยาว์งามตามธรรมชาติที่ไร้เครื่องสำอางค์ แต่งประทินยามสะท้อนแสงไฟจากคบเพลิงทำให้ใบหน้านั้นยิ่งดูใสสวยผุดผาดกว่าเดิม นับตั้งแต่เด็กสาวคนนี้ก้าวย่างเข้ามาในโรงเรียน การวางตัวนิ่งเฉยไม่ค่อยพูดของเธอทำให้เพื่อนๆหลายคนรู้สึกขยาดไม่กล้าเข้าใกล้ หากแต่เวลานี้อิงอินทร์ค่อยรู้สึก.. มนสิการ์ไม่ ได้เป็นดังที่เธอมองเห็นจากเปลือกนอกแม้แต่น้อย แม้เธอเงียบจนดูราว เย็นชา หากแต่จริงแล้ว..นั่นเป็นเกราะบางๆที่เธอสร้างขึ้นมา ปกป้องตัวเองไว้เท่านั้น แท้จริงเด็กสาวคนนี้บริสุทธิ์และอ่อนโยน มีความอยากเป็นมิตรต่อทุกคน เพียงแต่ในใจของเธอคล้ายมีอะไรบางอย่าง เป็นความเหงาเศร้าซึ่งอยู่ลึกๆข้างในที่เธอคงอยากจะหาใครสักคน ระบายมันออกมาให้ฟัง แต่ใครเล่า...คือคนที่เธอไว้วางใจ อิงอินทร์ลอบถอนใจเบาๆ ... อยากรู้จัง อะไรหนอที่ทำให้เธอดูเหงาเศร้าเช่นนี้ เสียงอธิบายของไกด์สาว ดึงความสนใจของอิงอินทร์กลับมายังเบื้องหน้าอีกครั้ง
" มัมมี่..ก็คือศพที่ดองหรืออาบน้ำยาพิเศษ โดยชาวอียิปต์โบราณ โดยพวกเขาจะผ่าเอาอวัยวะภายในของผู้ตาย มาทำความสะอาดและอาบน้ำยาพิเศษแล้วเก็บแยกไว้ต่างหากในภาชนะที่เรียกว่า " คาโนปิค " ซึ่งมีลักษณะคล้ายตุ่มหรือแจกันขนาดใหญ่ มีฝาแกะ สลักเป็นรูปเศียรของเทพเจ้า ส่วนร่างกายของศพจะถูกนำไปทำให้แห้งแล้วทาด้วยน้ำยา แล้วนำศพมาห่อด้วยผ้าลินินพันไว้หลายชั้น...." กลุ่มผู้ชมนิทรรศการเคลื่อนตัวเข้าสู่ภายในสุดของห้องซึ่งแยกทำเป็นห้องเล็กๆ เข้าไปอีกห้อง แสงสว่างภายในห้องนี้ยิ่งน้อยกว่าห้องด้านนอก มีเพียงดวงไฟเล็ก จากมุมเสาทั้งสี่ส่องต้องโลงศพมัมมี่ที่วางทอดยาวอยู่บนแท่นกลางห้อง ซึ่งสร้างฉาก แก้วใสกางกั้นไว้สี่ด้านอีกทีหนึ่ง เพื่อป้องกันผู้คนล่วงล้ำเข้าไปใกล้มัมมี่เกินไป นี่เป็นมัมมี่จริงๆของฟาโรห์องค์หนึ่ง ซึ่งเข้าใจว่าถูกขโมยมาจากอียิปต์ และ ได้พบเจออยู่ที่หมู่เกาะแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิค กำลังจะนำกลับไป ทำการศึกษาวิจัยต่อที่พิพิธภัณฑ์วัตถุโบราณที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ระหว่างนี้ได้แวะผ่านประเทศไทย จึงถือโอกาสจัดนิทรรศการเพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้ให้นักศึกษา และประชาชนเข้ามาชมกัน ไกด์สาวอธิบายพลางพาทุกคนเข้าไปใกล้ๆ ชี้ให้ดูโถคาโรปิค ตลอดจนเล่าความเป็นมาของมัมมี่ฟาโรห์องค์นี้ เรียกความสนใจของทุกคนพากันตั้งใจฟังจนเงียบกริบ เวลานั้นเอง.. มนสิการ์ก็มีความรู้สึกคล้ายมีสายตาคู่หนึ่ง เพ่งมองจ้องพวกเธออยู่ตลอดเวลา ใคร...? สายตาอ่อนโยนคู่นั้น คล้ายจับจ้องมองมาทางนี้นับตั้งแต่ก้าวแรกที่กลุ่มของ พวกเธอเข้ามาในงานนิทรรศการนี้แล้ว มีหลายครั้งที่เด็กสาวพยายามกวาดสายตามองหา แต่ก็หาไม่เจอ...
" มองหาใครเหรอมนสิการ์..." อิงอินทร์คงสังเกตเห็นท่าทางของเธอจึงเอ่ยถามขึ้น
" เปล่า..."
" อย่าบอกว่าเธอมองเห็นคา ( ka ) ของใครแถวนี้เข้านะ.." อาริยายิ้มพลางหันมากระซิบพูดทีเล่นทีจริง จนประวิตรรีบยกมะเหงกเคาะ หัวเพื่อนสาวโป๊กหนึ่งเบาๆ
" อย่าพูดบ้าๆสิ.. บรรยากาศยิ่งน่ากลัว โบราณว่า..เข้าป่าช้าอย่าเอ่ยถึงผี ระวังเถอะ..จะเจอดีเข้าจริงๆ " อิงอินทร์หันมาถลึงตาใส่
" นายก็เหมือนกัน ...ปากนะปาก... " ประวิตรรีบยกมือปิดปากทันที มนสิการ์ยิ้มอย่างนึกขัน เพื่อนกลุ่มนี้...น่ารักกันดี
" คา " ที่อาริยาเอ่ยถึง คงเอามาจากที่ไกด์คนนั้นอธิบายให้ทุกคนฟังเมื่อครู่นี้ ......
ชาวไอยคุปต์โบราณมีความเชื่อว่า มนุษย์เรานั้น ประกอบด้วยสิ่งสำคัญ คือร่างกายกับวิญญาณ ซึ่งในส่วนของวิญญาณจะประกอบด้วยสามส่วนคือ คา (Ka)ไบ (bai) และ คู (kou) ......
" คา " เป็นวิญญาณอมตะที่แฝงอยู่ในกายจริง เมื่อกายจริงแตกดับ คาก็จะออกจากร่างทันที และคงรูปร่างเหมือนกายจริงทุกประการ แต่จะมีลักษณะโปร่งใส คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า บางครั้งอาจเรียก "คา" ว่า กายทิพย์ ......
" ไบ " หรือดวงจิต เป็นวิญญาณอีกรูปหนึ่ง ชาวอียิปต์มักวาดออกมาในลักษณะของนกตัวใหญ่ขนสีทอง มีหัวเป็นมนุษย์ .....
ส่วน " คู " จะมีลักษณะเป็นวิญญาณในสภาพดวงไฟมีแสงสว่าง ลอยไปมาอยู่ในอากาศ ชาวไอยคุปต์โบราณจึงพิถีพิถันกับการเก็บรักษาศพให้อยู่ในสภาพเดิมให้มากที่สุด พร้อมที่ให้ คา ไบและคู มาสถิตย์อยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง นำไปสู่ชีวิตอมตะนั่นเอง
และเมื่อการเข้าชมห้องซึ่งถูกจำลองเป็นสุสานฟาโรห์จบสิ้นลง ผู้เข้าชมนิทรรศการส่วนใหญ่รีบจ้ำออกจากห้องอย่างรวดเร็ว หากแต่อะไรบางอย่างคล้ายฉุดมนสิการ์เอาไว้ให้ชะลอฝีเท้าก้าวช้าๆ เหลียวมองไปทางข้างหลัง..ภายในห้องนั้นอีกครั้ง และตอนนั้นเอง ...เธอจึงได้มองเห็นเขาเป็นครั้งแรก ! ร่างนั้นแม้เป็นเงาจางๆอยู่ในความมืดสลัว หากแต่ดูออกว่านั่นเป็นร่างของบุรุษ ที่สูงใหญ่งามสง่า ในเครื่องแต่งกายชุดเกราะขุนศึกอันเข้มแข็ง ใบหน้าที่อยู่ในเงามืด ไม่อาจมองเห็นเค้าหน้าของเขาชัดตา หากแต่ดวงจิตของ เด็กสาวกลับสัมผัสได้ถึง แววอ่อนโยนละมุนที่เปี่ยมด้วยความรักและคนึงหาจากดวงตา ของเขาคู่นั้น ใคร...? ...มาเธน่า..... คิดถึงเจ้าเหลือเกิน... เสียงทุ้มนุ่มที่เบาดุจขนนก คล้ายกระซิบแผ่วดังอยู่ที่ข้างหู หากแต่มือของใคร คนหนึ่งยื่นมาตบบนไหล่ของเธอเบาๆจนสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ..เป็นอิงอินทร์
" มองหาใครเหรอ เป็นไรไป ดูเธอลอยๆหลายครั้ง ไม่สบายอะไรรึเปล่า " มนสิการ์เพียงละสายตามาที่เพื่อนสาวแว่บหนึ่ง ครั้งพอเหลียวไปที่เงานั้นอีกครั้ง ร่างนั้นก็ไม่อยู่อีกแล้ว เขาหายไปแล้ว....หากแต่เสียงนั้นแว่วยินเบาๆมาอีกครั้ง .... ข้ารู้...ว่าเจ้ามองเห็นข้า.. .... ขอบใจมาก.....

--To be continued--

เนื่องจากเกิดการขัดข้องเรื่องเกี่ยวกับเวลาในการอัตเดต ดังนั้นตั้งแต่ตอนที่ 3 เป็นต้นไป ขอความกรุณาท่านผู้อ่านเข้าไปอ่านต่อได้ที่ Acentharias ค่ะ ขออภัยด้วยนะคะ



l Chapter1 l Chapter 3 l About writer l