นิรันดร์ : chapter 4
โต๊ะอาหารยาว จัดไว้เฉพาะสี่ที่ จุดเทียนที่กลางโต๊ะ ผนังห้องจุดเทียนไว้ในโคมแก้วแวววาว
"เหมือนทุกครั้งที่ผมมา ผมต้องการตัว มธุกัลยา" ดวงเนตรที่ทอดตรงมา ทำให้กรเกล้ารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ
"กระหม่อมอยากทราบเวลา"
"เจ็ดวัน นี่เป็นวันที่สี่"
"ฝ่าบาทเลิกแล้วต่อกันมิได้หรือเพคะ" กัลยาถาม
"นี่เป็นสัญญา" เสียงตอบกึกก้อง
"คนตายแล้วก็เป็นวิญญาณ รอรับตอนนั้น ไม่ได้หรือเพคะ" กรเกล้าถาม
"ได้ ถ้าต้องการ แต่ตัวเจ้าหาได้เป็นสิทธิแก่ตัวเจ้าไม่"
"ถ้า คุณตายอมยกให้เล่าเพคะ" กรเกล้าถามอีก แล้ววาบเข้าในใจ รอยแย้มสลวนขยายออกจนเห็นเขี้ยว เลือดเย็น
"จะยอมง่ายๆ อย่างนั้นหรือ" เสียงตวัดขึ้นสูง ตามด้วยเสียงสรวลกึกก้อง
"น้องนาง ดวงใจเจ้าเป็นของพี่ แต่วิญญาณเจ้าเป็นเกียรติแห่งตระกูล"
"กระหม่อมไม่เข้าใจบรรพบุรุษเลย" ดร.กฤษณ์ปรารภ
รอยแย้มสลวลมีลับลมคมใน
"เกียรติยศของลูกผู้ชาย มรุตมีหรือจะยอมยกน้องสาวสุดที่รักให้แก่ข้า มธุกัลยา ควรอยู่ ณ.สรวงสวรรค์ หาใช่ใต้พิภพที่มืดมิดไม่"
"ไม่เคยได้นางมาเลยหรือเพคะ ไหนรับสั่ง ว่าหัวใจของนางเป็นของฝ่าบาท"กรเกล้าถาม
"ไม่ใช่หัวใจของนาง หัวใจของเจ้า" ถ้อยรับสั่งอ่อนหวาน


"ข้าเคยบอกแล้ว หัวใจเจ้าเป็นของข้า แต่วิญญาณเจ้าเป็นของตระกูล เราคุยเรื่องเคร่งเครียด มากแล้ว จะไม่ออกไปดูดอกไม้งามท่านกลางแสงจันทร์บ้างหรือไร ดอกไม้ที่นี่เบ่งบานรับแสงจันทรา เราไม่ค่อยได้พบกับแสงอาทิตย์นัก" ท้ายรับสั่งแผ่วเบาลง
ทั้งหมดพร้อมใจกันลุก กลิ่นหอมมาอีกแล้ว หอมอ่อนๆ เย็นๆ หนังตาหนักลง กรเกล้ากัดริมฝีปากปลุกความรู้สึกของตัวเอง แล้วรู้สึกถึงรสเค็มปร่าของเลือด มันทำให้หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
"น้องนางคราวนี้เจ้าจะจากข้าไปได้อย่างไร" เธอได้ยินเสียงคุ้นหู พร้อมทั้งถูกอุ้มกระชับ แนบอุระ เธอลอบจดจำทางที่ถูกพาไป เธอนับได้สามโค้ง โค้งที่วนซ้าย การเดินหยุดลง เธอหรี่ตา มอง โลงแก้ว เธอถูกนำไปวางลง กรเกล้าอาศัยความไวกับมายาเล็กน้อย วางเข็มปักผมแทรกไว้ที่ล่องผนึกของตัวโลงกับฝา โลงถูกปิดเบา ระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียง เหมือนไม่อยากปลุกให้เธอตื่น
"บุคคลข้างนอก ปล่อยทิ้งเอาไว้ เดี๋ยวจะถึงเวลาที่บริวารของข้าจะออกมาแล้ว" เสียงแผ่วๆ ที่ผ่านมาตามรอยที่ปิดไม่สนิท
"ขอแสดงความยินดีต่อฝ่าบาท"
"ยัง ยังไม่ถึงเวลา จนกว่าจะหมดเวลาของข้า"
เธอรอจนเงียบเสียง เงียบสงัด หรี่ตาดูไม่เห็นใคร ก็ผลักฝาโลงออก ปีนออกมา ปิดฝาโลงไว้ตามเดิม ก่อนวิ่งโหยงๆ ไปตามทางที่เธอถูกนำเข้ามา ไม่นานนักเธอก็พบคุณตาคุณยาย หลับอยู่ใต้กอไม้สีขาวบานสะพรั่ง อาศัยความพยายามพอดู กว่าจะนำตัวท่านทั้งสองมาที่รถได้ นำรถออกจากสถานที่แสนจะวังเวงนั้น
"วิญญาณเจ้าเป็นเกียรติของตระกูล" เสียงทุ้มๆ กังวาน
กรเกล้าสะดุ้งตื่น เธออยู่ในห้องของเธอที่บ้านของคุณตา เธอรีบลุก วิ่งไปดูที่ห้องของคุณตาก่อน ท่านนอนอยู่บนเตียง พร้อมทั้งคุณยาย
"คุณตาคะ" เธอเรียก พร้อมทั้งเขย่าแขนท่านเบาๆ
"กรหรือลูก" ท่านอ่อนเพลียมาก ไฟชีวิตใกล้มอดดับ
"ค่ะ"
"ไม่เป็นอะไรใช่ไหม"
"ค่ะ"
"ดี" ท่านหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
"ตามน้าวินมา ให้เขารีบกลับมา"
"ค่ะ" กรเกล้ารับคำ หัวหมุนไปหมด
น้าวิน คือลูกชายคนเดียวของน้องชายคุณตา ท่านกำลังศึกษาอยู่แถบยุโรป กรเกล้าต่อโทรศัพท์ทันที
"น้าวินเอง" กวินบอก เมื่อจำเสียงหลานสาวได้
"คุณตาให้น้าวินกลับบ้านด่วน คือว่า--" สายขาดลงทันที กรเกล้าหันไปทางประตู หมอกบางเบาลอยไปทั่ว ค่อยๆ ลอยมารวมตัวกัน หนาขึ้น
"คุณตาไม่สบาย ไม่รับแขกค่ะ" เธอพูดเบาๆ
"แล้วเธอล่ะ"
"หม่อมฉันต้องดูแลคุณตา"
"น้องนาง ถึงกวินจะมาก็ไม่แน่นักว่าจะชนะ"
"แล้วทำไมต้องตัดการติดต่อ" กรเกล้าถาม
"พี่ไม่อยากให้เวลายืดยาวออกไป พี่รอเจ้ามานับหมื่นปี อย่าให้พี่รออีกต่อไป" หัตถ์เอื้อมมาใกล้ กรเกล้าเกือบส่งมือไปให้ แล้วก็ชะงัก
"หม่อมฉันไม่สามารถทำได้ หม่อมฉันเป็นเพียงเครื่องเดิมพันเท่านั้น" เธอร้องออกมา
"เครื่องเดิมพัน" เสียงรับสั่งทวนอย่างเศร้าๆ กลุ่มหมอกกระจายหายไป
กรเกล้าอยู่บ้าน อย่างขวัญผวา คุณตาคุณยายตัวเย็นลงเรื่อยๆ แต่ท่านยังมีสติยังยิ้มให้เธอได้
วันรุ่งขึ้นกวินมาถึง เขารับฟังเรื่องราวจาก ดร.กฤษณ์และกรเกล้าอย่างสงบ
"กร" กวินเรียกหลานสาว
"นี่ไม่ใช่การต่อสู้ของน้ากับอมรเทพ แต่เป็นกร จะแพ้หรือชนะอยู่ที่ตัวกร " กวินบอก ขาดคำลมพัดแรงขึ้น หมอกกระจายไปทั่ว พร้อมกลิ่นหอมระรวย

--To be continued--



l Chapter1 l Chapter 2 l Chapter 3 l Chapter 5 l Chapter 5(อวสาน) l